บริษัทแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ยืนยันว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ของทางบริษัทสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี เพื่อตอบโต้ผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐฯ ที่แสดงความกังวลต่อวัคซีนดังกล่าวจนอาจทำให้ความเชื่อมั่นในตัววัคซีนต่อสาธารณะลดลง ตามรายงานของสำนักข่าว The Associated Press



เมื่อคืนวันพุธ แอสตราเซเนการะบุในแถลงการณ์ว่า ทางบริษัทได้วิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมจากงานวิจัยของทางสหรัฐฯ และสรุปว่า วัคซีนมีประสิทธิผลต้านโควิด-19 อยู่ที่ 76 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งน้อยกว่าตัวเลขเดิมที่ 79 เปอร์เซ็นต์ที่ทางบริษัทรายงานเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

.

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การวิเคราะห์ประสิทธิผลของวัคซีนครั้งใหม่นี้ช่วยย้ำความมั่นใจต่อตัววัคซีน แม้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ใช้วิเคราะห์ครั้งนี้จะไม่แตกต่างจากข้อมูลเดิมมากนักก็ตาม

.

ทั้งนี้ ข้อมูลการศึกษาวัคซีนแบบเต็มตัวยังไม่เป็นที่เปิดเผยจนกว่าองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA จะเริ่มประเมินข้อมูลดังกล่าวในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นเครื่องชี้ว่า ตัวเลขประสิทธิผลของวัคซีนครั้งล่าสุดนี้จะเพียงพอต่อการเรียกความเชื่อมั่นในตัววัคซีนกลับคืนมาได้หรือไม่

.
เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการอิสระที่ดูแลการทดลองวัคซีนของสหรัฐฯ กล่าวหาแอสตราเซเนกาว่า เลือกนำเสนอข้อมูลเพียงบางส่วนเพื่อเพิ่มตัวเลขประสิทธิผลของวัคซีน และเลือกที่จะไม่ใช้กรณีของผู้ป่วยโรคโควิด-19 บางส่วนในการศึกษาดังกล่าว
.
ทางแอสตราเซเนกาตอบโต้ว่า ผลการทดลองวัคซีนที่ทางบริษัทรายงานนั้น เป็นการทดลองจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ตามข้อตกลงของการศึกษา และทางบริษัทเตรียมวิเคราะห์กรณีของผู้ติดเชื้อหลังจากนั้นมากขึ้น ก่อนที่จะเผยแพร่ผลการศึกษาครั้งใหม่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
.
ก่อนที่แอสเตราเซเนกาจะเผยแพร่ผลของวัคซีนครั้งใหม่นั้น ดร. แอนโธนี เฟาซี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อของสหรัฐฯ ระบุว่า เขาหวังว่าเมื่อ FDA ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดของวัคซีนตัวนี้ต่อสาธารณะแล้ว สาธารณชนจะคลายความกังวลต่อวัคซีนมากขึ้น โดยเขาคาดว่าวัคซีนของแอสตราเซเนกา “จะเป็นวัคซีนที่ดี”

.

.

ทั้งนี้ ผลการศึกษาวัคซีนต่อกลุ่มตัวอย่าง 32,000 คน โดยส่วนใหญ่ศึกษาที่สหรัฐฯ นั้น จะมีผลอย่างยิ่งต่อการเรียกความเชื่อมั่นต่อวัคซีนของแอสตราเซเนกาคืนมา วัคซีนสูตรนี้มีความสำคัญต่อการยับยั้งภาวะไวรัสระบาดเนื่องจากมีราคาถูก เก็บรักษาได้ง่าย และเป็นวัคซีนหลักของโครงการโคแวกซ์ (COVAX) ที่ตั้งเป้านำวัคซีนแจกจ่ายไปยังประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง

.

แม้หลักฐานจากผลการทดลองและการใช้งานจริงจะบ่งชี้ว่า วัคซีนของแอสตราเซเนกามีประสิทธิผลในการสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ผลการศึกษาก่อนหน้านี้ก็นำเสนอข้อมูลประสิทธิผลของวัคซีนที่ไม่สอดคล้องกัน จนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บางประเทศระงับการให้วัคซีนสูตรนี้ชั่วคราวหลังมีรายงานพบภาวะลิ่มเลือดในผู้รับวัคซีนบางส่วน

.

อย่างไรก็ตาม ประเทศยุโรปส่วนใหญ่กลับมาฉีดวัคซีนสูตรนี้ให้ประชาชน หลังองค์การยาแห่งสหภาพยุโรประบุว่า วัคซีนนี้ไม่ได้ทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สรุปว่า วัคซีนมีความเกี่ยวเนื่องกับกรณีลิ่มเลือดหายากหรือไม่ โดยเมื่อวันพฤหัสบดี เดนมาร์กยังคงระงับการให้วัคซีนนี้ต่อประชาชนต่อไป

.

ทั้งนี้ การคำนวณประสิทธิผลของวัคซีนจากแอสตราเซเนกาครั้งล่าสุดนี้ คำนวณจากกรณีผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัส 190 คนจากการทดลองในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่อยู่ในการประเมินประสิทธิผลครั้งก่อน 49 คน โดยทางแอสตราเซเนการะบุว่า วัคซีนสามารถป้องกันอาการของโรคร้ายแรงได้ และอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนไม่มีอาการป่วยรุนแรงหรือต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เมื่อเทียบกับผู้มีอาการรุนแรงแปดคนที่ได้รับโดสวัคซีนหลอก โดยทางบริษัทไม่ได้ให้ข้อมูลของผู้เข้ารับการทดลองที่เหลือโดยละเอียด

.

ประเทศยุโรปบางประเทศตั้งคำถามถึงประสิทธิผลของวัคซีนต่อผู้ใหญ่ โดยผลการศึกษาวัคซีนในสหรัฐฯ ระบุว่า วัคซีนมีประสิทธิผล 85 เปอร์เซ็นต์ต่ออาสาสมัครอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป โดยไม่ได้ระบุถึงความกังวลต่อความปลอดภัยของวัคซีน

.

ทั้งนี้ ผลการศึกษาวัคซีนของแอสตราเซเนกานั้นยังคงดำเนินต่อไป โดยทางบริษัทระบุว่า กำลังประเมินกรณีศึกษาเพิ่มเติมอีก 14 กรณีซึ่งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลได้

.

ที่มา : VAO thai https://www.voathai.com/a/astrazeneca-confirms-strong-vaccine-protection-after-us-rift/5828619.html