สหรัฐได้ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนแล้วเกินกว่า 200 ล้านเข็ม ประชากรกว่า 30% ได้รับวัคซีนครบถ้วน ซึ่งจะส่งผลให้มีวัคซีนเหลือ และสหรัฐเตรียมขยายการฉีดวัคซีนไปต่างประเทศ ขณะที่ไทยก็มีทีมงานที่กำลังพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ หากสำเร็จเราจะพึ่งพาตัวเองได้ระยะยาว

31 มี.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบขาวยุคประธานาธิบดี Biden 25 คนเข้าร่วมประชุมเรื่องสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ หาวิธีควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ข้ามพรมแดน เพื่อรักษาความเป็นผู้นำทางด้านสาธารณสุขแห่งโลก

รัฐบาลอเมริกันชุดที่แล้วทำภาพลักษณ์เสื่อม ทำลายความสัมพันธ์กับหลายประเทศ รวมทั้งองค์กรอนามัยโลก World Health Organization (WHO) รัสเซียและจีนเร่งผลิตวัคซีน ซึ่งหลายประเทศรับไปใช้แก้ปัญหาฉุกเฉิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อยุทธศาสตร์การเมือง

สัปดาห์นี้สหรัฐอเมริกาได้ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนแล้วเกินกว่า 200 ล้านเข็ม ประชากรประมาณ 30% ได้รับวัคซีนครบถ้วน อีกไม่กี่สัปดาห์จะมีวัคซีนเหลือ คาดว่าประมาณเดือน มิ.ย. หลังจากที่ 50% ของชาวอเมริกันได้รับวัคซีนแล้ว จะเกิดการหยุดชะงัก ความหวังที่จะให้ประชากรกว่า 70% ยอมรับวัคซีนเพื่อจะได้มีภูมิต้านทานกลุ่มนั้นคงเป็นไปได้ยาก ความไม่ไว้วางใจเรื่องความปลอดภัยของวัคซีน และความคิดที่แตกต่างกันทั้งด้านการเมือง ยังเป็นสิ่งที่สร้างความปวดหัวให้กับผู้นำอยู่ ข้อมูลบิดเบือนทางโซเชียลมีเดียมีมากทั่วโลก เราช่วยกันเลือกสรรกลั่นกรองครับ

เมื่อความสามารถในการผลิตวัคซีนมีมากกว่า 2,000 ล้านหลอดต่อปี อเมริกาจึงต้องเตรียมวิธีการขยายการฉีดวัคซีนไปต่างประเทศ เพราะหากปล่อยให้วัคซีนที่มีอยู่เสียหายหรือเสื่อมคุณภาพ ขณะที่โลกภายนอกยังไม่มีโอกาส ก็จะทำให้อเมริกาเสียภาพลักษณ์อีกรอบหนึ่ง

คาดว่าอีกภายในไม่กี่สัปดาห์จะมีการใช้คำสั่งของประธานาธิบดียกเลิกสัญญาที่กระทรวงกลาโหมและกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐตกลงไว้กับสามบริษัท Pfizer, Moderna, Johnson & Johnson ซึ่งระบุว่าวัคซีนพัฒนาอย่างเร่งด่วนโดยรัฐบาลเป็นผู้ลงทุนทั้งหมดนั้น จะใช้ได้ในเฉพาะอเมริกาเท่านั้น และคำสั่งใหม่จะให้สามารถส่งออกได้

นอกเหนือจากนั้น มีข่าวจากวงในพูดถึงการวางแผนใช้อเมริกาเป็นฐานในการผลิตวัคซีนราคาประหยัด จำนวนมหาศาล เพื่อป้อนความต้องการทั่วโลก ถือว่าเป็นการแข่งกับผู้ผลิตจำนวนมากราคาประหยัดเดิมที่มักจะเป็นจีนและอินเดีย
ส่วนเรื่องการที่อเมริกาจะขาย บริจาค หรือขายแบบลดพิเศษนั้นก็มีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น ยุทธศาสตร์ของการรักษาความเป็นมหาอำนาจโดยเฉพาะเรื่องการควบคุมระบบการเงินของโลก ความมั่นคงเศรษฐกิจตามระบบทุนนิยม และการปกครองแบบประชาธิปไตยจะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจแต่ละครั้งของผู้นำอเมริกา

และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ระบุชัดเจนว่าโรคระบาดโควิด-19 หรือคล้ายกันนี้ จะกำจัดให้หมดไปคงเป็นไปได้ยากจึงต้องมีการเตรียมตัวรับมือกับการกลายพันธุ์ต่อไปอีกหลายปี การผลิต การจำหน่าย และจิตวิทยามวลชนยังคงต่อไปอีกนาน

ขณะที่โลกกำลังรอวัคซีนที่มีความน่าเชื่อถือจากทางตะวันตกโดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกานั้น วัคซีนจากแหล่งอื่นซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่า พอหาได้ ผู้บริโภคจึงต้องใช้ไปก่อนเพราะไม่มีทางเลือก อย่างไรก็ตามวัคซีนเหล่านี้มีประโยชน์มากกว่าโทษ จีน รัสเซียและอินเดียมีความสามารถในการพัฒนาด้านนี้มากพอสมควร

ท่านที่ตัดสินใจรับวัคซีนเหล่านี้ขอให้มั่นใจ ว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีแล้ว บางครั้งค่านิยมก็อาจจะไม่สอดคล้องกับผลได้ผลเสียที่แท้จริงแม้การระบาดในอเมริกาขณะนี้จะลดลงบ้าง แต่การกลายพันธุ์ซึ่งทำให้การติดเชื้อในกลุ่มคนหนุ่มสาวมีมากขึ้น และผู้ป่วยที่เข้าโรงพยาบาลมีอายุโดยเฉลี่ยน้อยลง ยอดการตายประมาณ 900 คนต่อวัน กลับถือว่าเป็นข่าวดี ธุรกิจต่างๆ เริ่มเปิดขึ้นมาการจ้างงานเพิ่มขึ้นสูง ตัวเลขทางเศรษฐกิจพุ่งแรง เนื่องจากผู้บริโภคอัดอั้นมานาน เงินอัดฉีดในระบบแทบล้นตลาด เงินสะพัด สินค้าราคาแพงขึ้น การลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น ดัชนีหุ้นสูงถึงแม้จะวูบวาบขึ้นลงรายชั่วโมง ก็มีแนวโน้มว่าระยะยาวผลตอบแทนในตลาดหุ้นจะคุ้มกว่าการลงทุนอย่างอื่น นักลงทุนหน้าใหม่ซึ่งมีความอดทนน้อยอาจต้องจ่ายค่าเล่าเรียนสูงหน่อย

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน การทำงานเปลี่ยน สถานที่และการเดินทาง มีการติดต่อออนไลน์เพิ่มขึ้นมาก ทำให้หลายคนตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องการอยู่อาศัย อสังหาริมทรัพย์มีอุปสงค์เพิ่ม ชาวอเมริกันยังมีความต้องการบ้านอีก 4,000,000 หลัง แย่งกันซื้อ ทำให้ราคาสูงกว่าที่ตั้งขาย มีข่าวลือเป็นระยะว่าอสังหาริมทรัพย์จะพังอีกครั้งหนึ่ง เหมือนปี ค.ศ. 2008
หากเรานำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ ต้นทุนจากอเมริกาโดยประมาณจะอยู่ที่ 3-37 ดอลลาร์ต่อเข็ม

Moderna ต้องฉีดสองเข็ม เข็มละ 32-37 ดอลลาร์

Pfizer สองเข็ม เข็มละ 19.50 ดอลลาร์

J&J เข็มเดียว เข็มละ 10 ดอลลาร์

AstraZeneca สองเข็ม เข็มละ 3-4 ดอลลาร์ (ถูกที่สุด)

Novavax สองเข็ม เข็มละ 16 ดอลลาร์

(ชาวอเมริกันไม่ต้องจ่าย เพราะรัฐบาลฉีดวัคซีนให้ฟรี)

แต่ผมขอฝากให้กำลังใจทีมงานที่กำลังพัฒนาวัคซีนภายในประเทศไทยนะครับ อยากให้ท่านผู้อ่านสนับสนุนให้สำเร็จโดยด่วน กลุ่มที่กำลังพัฒนา ChulaCov19 vaccine ขณะนี้กำลังหาอาสาสมัครเพื่อทดลองอยู่ ขั้นตอนปลอดภัยเพราะเป็นหลักการที่มีมาตรฐานเดียวกับทางตะวันตก เมื่อเราสำเร็จและสามารถผลิตได้ภายในประเทศ นอกจากจะเป็นความภูมิใจแล้วก็ยังเป็นความสามารถในการพึ่งตนเองในระยะยาวด้วย ไทยมีมาตรฐานทางการแพทย์สูง ไทยสนับสนุนไทยครับ

ผมเองได้รับการฉีดวัคซีน Pfizer แล้วสองเข็ม ไม่มีอาการแพ้และจะมีภูมิต้านทานครบถ้วนสิ้นเดือนเมษายนนี้ ส่งกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังรอ อดทนอีกสักนิดครับ โอกาสใกล้จะมาถึงแล้ว เตรียมสุขภาพให้ดีและทำใจให้สบาย ใช้เวลาทุกวินาทีให้มีค่าที่สุดโดยเฉพาะกับครอบครัว จัดสรรเวลาทำกิจกรรมที่ท่านตั้งใจอยากจะทำมานานแล้วแต่ไม่เคยมีเวลา โอกาสนี้ดีที่สุดแล้วครับ

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 28 เมษายน 2564  [https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/934629]