Q : อวัยวะของร่างกายที่สำคัญลำดับต้นๆ คืออะไร ???

A : ดวงตา (หน้าต่างของหัวใจ) คงเป็นหนึ่งในคำตอบนั้น !!

ดวงตา เป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ที่ช่วยในการมองเห็น เปรียบเสมือนกับกล้องถ่ายรูป ภาพถ่าย 1 ภาพ จะต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของเลนส์กล้องและฟิล์ม เช่นเดียวกันกับดวงตาที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของกระจกตาและเลนส์แก้วตาในการหักเหแสงและปรับโฟกัส จอประสาทตาจะทำหน้าที่รับภาพจากเลนส์แก้วตา ซึ่งถูกส่งมาเป็นพลังงานแสงแล้วจึงแปลงกลับเป็นพลังงานไฟฟ้า ก่อนส่งต่อไปยังสมองโดยผ่านเส้นประสาทตาเพื่อแปลงพลังงานไฟฟ้ากลับเป็นภาพให้เราเห็นได้

สีของดวงตา เกิดจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ จำนวนเม็ดสีของม่านตาและแสงที่ผ่านเข้าสู่ม่านตา โดยยีนส์จะเป็นตัวกำหนดว่า เมลานินหรือเม็ดสี จะมีในดวงตามากน้อยเพียงใด ยิ่งมีเม็ดสีเมลานินมาก สีของดวงตาจะยิ่งเข้มขึ้น และในบางคนสีของดวงตามีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปตามปริมาณของแสงที่สะท้อนออกมา เนื่องจากม่านตาสองชั้นที่มีอยู่ในดวงตาและดวงตามีสีใดนั้นขึ้นอยู่กับว่าชั้นใดสะท้อนแสงจากข้อมูลพบว่า

ปกติคนเราจะกระพริบตา 15 - 17 ครั้งต่อนาที ประมาณ 20,000 ครั้งต่อวัน ประโยชน์ของการกระพริบตา จะช่วยกระตุ้นต่อมน้ำตาให้มีน้ำตาไหลออกมาในปริมาณคงที่ น้ำตามีคุณสมบัติป้องกันเชื้อโรคให้ดวงตา ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา น้ำตาซึ่งไหลจากต่อมน้ำตาทำหน้าที่ชะล้างสิ่งสกปรกในดวงตา การกระพริบตาเป็นการบริหารกล้ามเนื้อตาซึ่งมีส่วนช่วยในการปรับโฟกัส กระตุ้นการหมุนเวียนเลือดบริเวณรอบดวงตา และช่วยคลายอาการเกร็งของกล้ามเนื้อตา แต่ในผู้ที่มีปัญหาสายตา กล้ามเนื้อตาจะเกร็งตัวทำให้จำนวนครั้งในการกะพริบตาลดลงมาก ปัจจุบันมีหลายสาเหตุส่งผลทำให้เกิดอันตราย ต่อดวงตา ยิ่งในยุคนี้เป็นยุคที่ต้องสื่อสารผ่านโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเรียน ทำงาน หรือแม้แต่การซื้อขายสินค้า ทำให้ดวงตาต้องใช้งานหนัก กล้ามเนื้อตาล้า หรือแม้แต่การเผชิญกับแสงแดดและแสงไฟจากอุปกรณ์ส่องสว่างมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคทางตาได้ เราจึงต้องเริ่มดูแลรักษาดวงตาของเราให้แข็งแรงด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้

.

  1. ทุกๆ 20 นาที ควรพักสายตาจากการเพ่งมองหน้าจอต่างๆ โดยหันไปมองสิ่งอื่น หรือทอดสายตามองไกลๆประมาณ 20 วินาที จะช่วยป้องกันอาการปวดตา ตาล้า และตาแห้งได้
  2. วางตำแหน่งคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม รวมทั้งควรจัดแสงไฟภายในห้องให้พอดี เพื่อลดแสงสะท้อนและความไม่สบายตา
  3. หากต้องสัมผัสแสงแดด โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-14.00 น. แนะนำให้ใส่แว่นกันแดดที่สามารถป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตทุกครั้ง เนื่องจากเป็นช่วงที่รังสีอัลตราไวโอเลตมีความรุนแรง
    มากที่สุด
  4. พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้ดวงตาระคายเคือง แต่หากไปสัมผัส ควรล้างตาในน้ำสะอาด ไม่ควรใช้น้ำยา ล้างตา เนื่องจากดวงตาของเราผลิตน้ำตาตามธรรมชาติอยู่แล้ว
  5. พักผ่อนให้เพียงพอ และทานผักผลไม้ที่เป็นประโยชน์ เน้นอาหารที่มีวิตามินเอ หรืออาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระประเภทลูทีน ซีแซนทีน จากพืชผักผลไม้ที่มีสีเขียวเข้มและสีเหลือง เช่น ผักคะน้า ผักปวยเล้ง ผักโขมและข้าวโพด ผลบลูเบอร์รี่ ซึ่งจะช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้

.

จาก 5 วิธีดังกล่าวในข้างต้น ที่จะทำให้ดวงตาของเราแข็งแรงแล้ว ผู้เขียนอยากจะฝากเทคนิค “ยิ้มด้วยดวงตา” เพิ่มเติม เนื่องจากในปัจจุบันเราต้องใส่หน้ากากเกือบตลอดเวลา ใบหน้าที่
ถูกปิดไปถึงครึ่งหนึ่งทำให้คนไม่เห็นรอยยิ้มของเรา ฉะนั้น เราคงต้องส่งยิ้มด้วยดวงตา เทคนิคนั้นเป็นอย่างไร ลองไปดูกันค่ะ

  1. ยิ้มให้กว้างเป็น 2 เท่า เรื่องจริงมีอยู่ว่า หากปากยิ้ม..ดวงตาจะยิ้มด้วย เรียกว่าองค์ประกอบของรอยยิ้มของเรานั้น..ครึ่งหนึ่งมาจากปาก และอีกครึ่งมาจากดวงตา ปัจจุบันเรามองเห็นแค่ดวงตาเท่านั้น ปากเราจึงต้องยิ้มให้กว้างๆ (ในหน้ากากอนามัย) กว้าง..เป็น 2 เท่า จึงจะส่งความเบิกบาน
    ร่าเริงจากปากนั้นพุ่งขึ้นไปแสดงผลที่ดวงตาได้
  2. ริ้วรอยรอบดวงตาแสดงความจริงใจ ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น ออนตาริโอ (ปี 2018) บอกชัดเจนว่า คนที่ยิ้มจนเห็นริ้วรอยรอบดวงตามากเท่าไหร่ คนรอบข้างจะรู้สึกถึงความจริงใจมากเท่านั้น (โชว์ตีนกาได้เต็มที่) เน้นใช้พลังดีๆ จากรอยยิ้มเราเยียวยาสังคมกันดีกว่า
  3. รอยยิ้มเกิดจากใจที่ไร้ความกลัว สลัดความทุกข์ความกังวลออกจากใจ เมื่อใจโล่งสบายแล้วรอยยิ้มที่ดวงตาจะเปล่งประกายเองโดยไม่ต้องพยายามเลย
  4. นึกถึงสิ่งที่สดใส เหตุการณ์ที่ร่าเริงสนุกสนาน เพราะเมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้..ดวงตาเราจะเป็นประกายปิ๊งปิ๊ง ส่งพลังบวกให้คนรอบตัวได้
  5. ใช้ภาษากายทางบวกอื่นๆประกอบการยิ้ม ลองค้อมศีรษะ ค้อมตัว ไหว้ หรือผายมือออก ภาษากายเหล่านี้เมื่อผนวกกับดวงตาเปล่งประกาย ก็สามารถกระจายความสุขให้คนรอบข้างได้

ไม่ยากเลยสำหรับเทคนิค “ยิ้มด้วยดวงตา”

..ให้หน้ากากปิดกั้นแค่เชื้อโรคเท่านั้นพอ อย่าให้หน้ากากมาปิดกั้นรอยยิ้มจากใจของเรา..

รอยยิ้มถือเป็นโรคติดต่อ เมื่อเราส่งรอยยิ้มไป เราจะได้รอยยิ้มกลับมา 😊😊