ผู้คนข้ามแม่น้ำ Diyala สาขาของแม่น้ำไทกริส ซึ่งระดับน้ำที่ลดลงในปีนี้สร้างความตื่นตระหนกในหมู่ผู้อยู่อาศัย ใกล้กรุงแบกแดด ประเทศอิรัก ตะวันออกกลางเป็นหนึ่งภูมิภาคที่เปราะบางที่สุดในโลก ประชากรมากกว่า 400 ล้านคนในภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (AP Photo/Hadi Mizban)

รายงาน ‘ชีวิตที่เสี่ยงภัย : ผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศใน 6 ประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ’ ของห้องปฏิบัติการวิจัยกรีนพีซ ระบุว่า ระบบนิเวศและผู้คนที่อาศัยอยู่ในอัลจีเรีย อียิปต์ เลบานอน โมร็อกโค ตูนีเซีย และสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กำลังพบกับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างฉับพลัน

.

ตามรายงานเผยให้เห็นถึงรายละเอียดของภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ หรือ MENA (Middle East & North Africa) ว่ามีอุณหภูมิสูงขึ้นเกือบสองเท่าจากค่าเฉลี่ยโลก ทั้งยังตกอยู่ในความเสี่ยงจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง

.

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อตะวันออกกลางในวงกว้าง เพื่อเตรียมสังคมของพวกเขาให้พร้อมรับมือกับแรงกระแทกได้ดียิ่งขึ้น ผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องละทิ้งกระบวนทัศน์จากบนลงล่างและเกี่ยวข้องกับพลเมืองของตนในวงกว้างในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ

.

กรีนพีซตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือเรียกร้องความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศจากผู้นำประเทศต่างๆในเวที COP27 โดยเสนอให้จัดตั้งกองทุนทางการเงินเพื่อชดเชยความเสียหายแก่ชุมชนเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การเรียกร้องนี้เกิดขึ้นเพื่อต่อยอดคำมั่นสัญญาเพื่อการปรับตัวและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (adaptation and mitigation) อย่างไรก็ตามกรีนพีซต้องการให้เกิดกองทุนการเงินในรูปแบบของความช่วยเหลือ ไม่ใช่การเงินกู้เพื่อพัฒนาประเทศ

.

บนพื้นดินที่แตกร้าวที่เขื่อน Massira ในหมู่บ้าน Ouled Essi Masseoud ประเทศโมร็อกโกเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2022 ท่ามกลางความแห้งแล้งที่เลวร้ายที่สุดของประเทศในรอบอย่างน้อยสี่ทศวรรษ - เครดิตภาพ FADEL SENNA / AFPA

แคทเทอรีน มิลเลอร์ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์แห่งห้องปฏิบัติการวิจัยกรีนพีซกล่าวว่า “หลายประเทศในภูมิภาคนี้ต้องเผชิญกับอากาศร้อนและแล้งกว่าส่วนอื่น ๆ ของโลก อย่างไรก็ตามแต่ละปีอากาศมีความแปรปรวนมาก ภูมิภาคนี้มีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว 0.4 องศาเซลเซียสต่อทศวรรษนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา โดยเป็นอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบ 2 เท่า”

.

ด็อกเตอร์ จิอร์จ ซิททิส นักวิจัยแห่งศูนย์วิจัยสภาพภูมิอากาศ – Climate and Atmosphere Research Center (CARE-C) เสริมว่า “รายงานได้เผยให้เห็นถึงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด การประเมินแนวโน้มจากข้อมูลในอดีต และการคาดการณ์ถึงด้านสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบต่อระบบนิเวศและผู้คนทั่วภูมิภาคที่เผชิญอากาศร้อนสุดขั้ว การขาดแคลนน้ำ และความไม่มั่นคงทางอาหารได้กลายเป็นชีวิตประจำวันของพวกเขาไปแล้ว”

.

ด็อกเตอร์ มาฮา คาลิล

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาคชีววิทยา มหาวิทยาลัยอเมริกาในกรุงไคโรกล่าวว่า “ระบบนิเวศบนบกและทะเลมีความสำคัญอย่างมาก สิ่งมีชีวิตบางชนิดสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้โดยการอพยพไปในบริเวณที่เหมาะต่อการดำรงชีวิตกว่า ขณะเดียวกันก็เป็นการยากที่จะคาดการณ์ได้ว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไร เช่น ปะการังแดงบางแห่งเริ่มไม่สามารถทนต่อความร้อนได้ และอุณหภูมิน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดการฟอกขาวเป็นบริเวณกว้าง”กิวา นากัท ผู้อำนวยการกรีนพีซตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) กล่าวว่า “ท่ามกลางชีวิตที่สูญเสีย บ้านเรือนถูกทำลาย พืชผลทางการเกษตรเหี่ยวเฉา การทำมาหากินทำได้ยากขึ้น มรดกทางวัฒนธรรมกำลังถูกคุกคาม แต่ผู้ก่อมลพิษหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเหล่านี้กลับปฏิเสธที่จะชดเชยค่าเสียหายต่อชุมชนเปราะบางที่ต้องเผชิญกับปัญหาต่อไป

.

“หากไม่มีข้อตกลงทางการเงิน ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือก็ยากที่จะฟื้นตัวจากผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียนได้ นอกจากจำเป็นต้องมีกองทุนเพื่อกลุ่มคนเปราะบางแล้ว รัฐบาลในภูมิภาคนี้ต้องลงทุนในการพัฒนาทางเลือกเพื่อวัฒนธรรมและชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย"

.

“เราต้องเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนเพื่อประชาธิปไตยทางพลังงาน เป็นเรื่องไร้เหตุผลสิ้นดีที่เราจะยังคงก้าวตามทางที่กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วขีดไว้มากว่า 300 ปีซึ่งส่งผลให้เกินภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศมากมายที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้”

ที่มา : mgronline https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9650000108471