เอเอฟพี - งานวิจัยซึ่งได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ เผยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ‘โควิด-19’ สามารถมีชีวิตอยู่รอดในอากาศได้นานหลายชั่วโมง และอาจติดบนพื้นผิวต่างๆ ได้นาน 3-4 วัน

ผลการศึกษาที่เผยแพร่อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ (17 มี.ค.) พบว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 (COVID-19) มีระดับความสามารถในการอยู่รอด (viability) ภายนอกร่างกายมนุษย์ได้ยาวนานพอๆ กับไวรัสโรคซาร์ส
ด้วยเหตุนี้ เมื่อรวมกับปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะความสามารถในการแพร่เชื้อจากคนสู่คนแม้ไม่แสดงอาการป่วย จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รุนแรงและกว้างขว้างยิ่งกว่าโรคซาร์สที่เคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงปี 2002-2003
งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine (NEJM) จัดทำขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC), มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (UCLA) และมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน
นักวิจัยได้ใช้เครื่องพ่นหมอก (nebulizer) เพื่อจำลองการไอหรือจามของมนุษย์ และตรวจพบว่ายังมีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ในอากาศแม้จะผ่านไปนานถึง 3 ชั่วโมง
ผลการศึกษายังพบว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถอยู่รอดได้ประมาณ 2-3 วันบนพื้นผิวที่เป็นพลาสติกและเหล็กกล้าไร้สนิม (stainless steel) และอยู่ได้นานสูงสุด 24 ชั่วโมงบนกระดาษแข็ง
หลังจากผลการศึกษาชิ้นนี้ถูกโพสต์ลงบนเว็บไซต์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก่อนจะผ่านกระบวนการ peer-review ปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างมาก และมีนักวิทยาศาสตร์บางคนเข้าไปวิจารณ์ว่ารายงานฉบับนี้อาจให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เชื้อจะแพร่กระจายทางอากาศ “เกินจริง” ไปสักหน่อย
ทั้งนี้ สาเหตุหลักของการติดเชื้อไวรัสก็คือการสัมผัสกับละอองฝอย (droplets) จากระบบทางเดินหายใจ เช่น น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะ เป็นต้น ซึ่งเชื้อที่ออกมาในรูปนี้จะอยู่รอดได้เพียงไม่กี่วินาที หลังจากที่ผู้ป่วยไอหรือจาม
ผู้ที่วิจารณ์ตั้งคำถามว่า เครื่องพ่นหมอกนั้นสามารถเลียนแบบละอองฝอยที่เกิดจากการไอหรือจามของมนุษย์ได้จริงหรือไม่
ทีมวิจัยได้ทำการทดสอบแบบเดียวกันกับไวรัสโรคซาร์ส ซึ่งทำให้พบว่าไวรัสทั้ง 2 ชนิดมีระยะเวลาในการอยู่รอดภายนอกร่างกายพอๆ กัน
อย่างไรก็ตาม ความเหมือนในข้อนี้ไม่สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จึงแพร่กระจายในวงกว้างจนมีผู้ติดเชื้อมาก 200,000 คน และคร่าชีวิตผู้ป่วยไปแล้วเกือบ 8,000 คนทั่วโลก ในขณะที่โรคซาร์สมีผู้ติดเชื้อเพียง 8,000 คน และเสียชีวิตไม่ถึง 800 คน

ที่มา : Manager online 18 มีนาคม 2563  [https://mgronline.com/around/detail/9630000027112]