คำตอบ

การนำยางพารามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์กาว  เช่น การผลิตกาวติดไม้และกาวติดโลหะนั้น  ได้มีการนำน้ำยางธรรมชาติมาดัดแปลงโมเลกุล  โดยใช้วิธีลดขนาดโมเลกุลของยางพาราลง  จนมีขนาดพอเหมาะแก่ความต้องการของอุตสาหกรรมแต่ละประเภท  เพราะขนาดของโมเลกุลของยางมีผลต่อแรงยึดเหนี่ยวระหว่างผิววัสดุโดยตรง  การตัดให้โมเลกุลเล็กลงด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ใช้วิธีทางเคมี  จะสามารถลดน้ำหนักโมเลกุลลงได้ในระดับหนึ่ง  และเมื่อนำมาผ่านกระบวนการต่าง ๆ เพื่อผลิตเป็นกาวแล้วก็จะได้กาวที่มีความแข็งแรงในการเชื่อมติดสูงมาก และจากการศึกษาวิจัยพบว่า  น้ำยางธรรมชาติสามารถผลิตกาวยางเพื่อใช้งานทั่วไปและงานไม้ยางที่มีคุณภาพตามมาตรฐานกาวยางและสามารถเพิ่มคุณภาพกาวดีขึ้นโดยการแปรชนิดและปริมาณสารแทคคิไฟเออร์ (tackifier) เพื่อช่วยปรับปรุงความเหนียวและยึดติดในกาวจากน้ำยางธรรมชาติ เช่น phenolic resin,  urea formaldehyde resin, wood resin และ coumarone indene resin และสารเพิ่มความหนืด (thickener) คือ แป้งมันสำปะหลัง  แป้งสาลี และ methyl cellulose  กาวชนิดนี้มีจุดเด่นคือ  เป็นกาวที่ได้จากวัตถุดิบธรรมชาติ  ไม่มีองค์ประกอบของสารพิษเจือปน  เนื่องจากไม่มีตัวทำละลายและมีความแข็งแรงสูงกว่ากาวชนิดอื่น  ไม่เหมือนกาวที่ใช้กันทั่วไป  ซึ่งมักจะมีฟอร์มาลินเป็นองค์ประกอบและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

รายชื่อเอกสารที่เกี่ยวข้อง

1. สุนิสา  สุชาติ.  การผลิตกาวจากน้ำยางธรรมชาติเพื่อใช้ในงานไม้ยางพารา.  The rubber international.  ปีที่ 8 ฉบับที่ 11, พ.ย. 2549.  หน้า 38-40.

2. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).  เทคโนโลยียางฝีมือไทย“หาเทคนิคลดรอยรั่ว-ทำกาวปลอดสาร”.  The rubber international.  ปีที่ 7 ฉบับที่ 12, ธ.ค., 2548.  หน้า 69-71.