ปัจจุบันมีการปลูกข้าวโพดสายพันธุ์นี้ กันอย่างแพร่หลาย ซึ่ง ผู้คิดค้นข้าวโพดหวานสีแดงสายพันธุ์กินดิบรายแรกของโลก มีขื่อว่า "ดร.ทวีศักดิ์ ภู่หลำ" อดีตเป็นอาจารย์ภาควิชาพืชไร่ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์เป็น 1 ใน 5 ของนักปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดของโลก ปัจจุบัน อาจารย์ได้เปิดบริษัท ชื่อว่า “บริษัท สวีทซีดส์ จำกัด”

โดยบริษัท สวีทซีดส์ แห่งนี้ จะดำเนินกิจการเกี่ยวกับ การเกษตร รวมถึงจำหน่ายเม็ดพันธุ์ ข้าวโพดหวานราชินีทับทิมสยาม เป็นพืฃหลัก ซึ่งข้าวโพดหวานพิเศษสีแดง สายพันธุ์ดังกล่าวนี้ ได้มีการคิดค้น และเริ่มออกเผยแพร่ และมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายเมื่อประมาณ 2-3 ปี ซึ่งในส่วนของบริษัท สวีทซีดส์ ของ ดร.ทวีศักดิ์ นอกจากจะจำหน่ายเม็ดพันธุ์ เขายังได้ทำการปลูกข้าวโพดดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ผลผลิตข้าวโพดที่ได้นำมาจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์ ต่อให้กับเกษตรกรที่สนใจ
ปัจจุบัน ทาง บริษัท สวีทซีดส์ จำกัด ขายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวานพิเศษสีแดง กิโลกรัมละ 1,000 บาท และมีขายเป็นซอง ซองละ 500 เมล็ด ราคา 100 บาท ซึ่งราคาสูงกว่าพันธุ์ข้าวโพดหวานทั่วไป ที่ขายกิโลกรัมละ 750 บาท แต่เมื่อเทียบผลผลิตที่ได้คุ้มกว่า การปลูกข้าวโพดทั่วไป เพราะราคาต่อฝัก ข้าวโพดหวานสีแดงราคาสูงถึงฝักละ 10 บาทขึ้นไป โดยราคาขายปลีก ริมถนนในจ.สุพรรณฯ ขายฝักละ20 บาท ในขณะที่ราคาข้าวโพดทั่วไป ประมาณ 3-5 บาท ต่อฝัก ที่ราคาสูง ไม่ใช่ว่า ปลูกยาก แต่เป็นเพราะเป็นสิ่งใหม่ในตลาด และความต้องการยังมีอยู่สูง
ดร.ทวีศักดิ์ เล่าว่า สำหรับที่มาของ การคิดค้นข้าวโพดหวานสีแดง ชนิดนี้ สำเร็จได้ส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีความชอบ ให้กับผู้ช่วย คือ ลูกสาว “รวิกานต์ ภู่หลำ” โดย เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนสำคัญ หลังจากเรียนจบปริญญาโท สาขาปรับปรุงพันธุ์พืช จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (University of Illinois at Urbana-Champaign) ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้มาช่วยทำงานด้านพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพด โดยเฉพาะข้าวโพดหวานพิเศษสีแดงที่ทุ่มเทให้กับงานนี้อย่างจริงจัง และได้รับเชิญไปบรรยายเกี่ยวกับข้าวโพดสายพันธุ์นี้ให้กับเกษตรกรมาแล้วในหลายเวที
“รวิกานต์” ได้มาเล่าให้ฟัง ถึง การปลูกข้าวโพดหวานสีแดง ราชินีทับทิมสยาม ว่า เป็นข้าวโพดที่สามารถปลูกได้เหมือนกับข้าวโพดทั่วไป ปลูกเหมือนข้าวโพดหวานปกติทั่วไป แต่ข้าวโพดหวานสีแดงนี้จะไม่ชอบหน้าฝนที่มีช่วงฝนตกหนักตลอด เพราะอ่อนแอต่อความชื้นสูงๆ มากกว่าพันธุ์อื่น แต่ก็มีเกษตรกรบางคนนำไปปลูกช่วงหน้าฝนและได้ผลผลิตดีด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการปลูกด้วย
ทั้งนี้ ในช่วงอายุ 45-50 วัน ต้องหมั่นตรวจดูการระบาดของแมลงอีกครั้ง โดยเฉพาะหนอนเจาะลำต้น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ หากพบการระบาดให้กำจัดตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร พร้อมให้ปุ๋ย สูตร 46-0-0 ในอัตรา 10-15 กิโลกรัม ต่อไร่
“รวิกานต์” แนะนำว่า ในการปลูกข้าวโพดนั้น ต้องจดวันที่ข้าวโพดออกไหมด้วย และในช่วง 50-65 วัน ให้หมั่นเดินดูแปลงเป็นพิเศษ โดยหลังจาก 20 วัน หลังออกไหม สามารถเก็บเกี่ยวได้เลย และที่ให้นับ 20 วัน หลังข้าวโพดออกไหม เพราะข้าวโพดหวานจะมีน้ำหนักดีและรับประทานได้ที่ 20 วัน หลังออกไหม ถ้าเก็บช้าความหวานจะลดลง
ทั้งนี้ ประโยชน์ของข้าวโพดแดงนี้ ถือว่า เป็นพืชที่ให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นเหตุผลที่ทำให้คนรักสุขภาพหันมา สนใจพืชชนิดนี้ โดยในข้าวโพดแดง นั้น มีปริมาณสารแอนโทไซยานิน (anthocyanin) สูง ซึ่งสารตัวนี้เป็นตัวเดียวกับที่มีในดอกอัญชัน และยังมีสารสำคัญ สีม่วง-แดง ที่มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีทั้งในเมล็ด ซัง และไหมข้าวโพด ซึ่งนำเมล็ดมารับประทานตามปกติก็ได้ หรือจะนำไหมกับซังมาต้มเพื่อสกัดสารตัวนี้ก็ได้ ส่วนรสชาติของข้าวโพดหวานสีแดง ตัวนี้ เมื่อรับประทานเมล็ดข้าวโพดจะได้กลิ่นหอมคล้ายๆ ผลไม้บางชนิด และมีรสชาติความหวานกรอบ
สำหรับ การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดราชินีทับทิมสยาม ครั้งนี้ “รวิกานต์” บอกว่า ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีชีวภาพหรือการตัดต่อยีน แต่อย่างใด ซึ่งทุกขั้นตอนเป็นการปรับปรุงพันธุ์พืชแบบดั้งเดิม ทั้งสิ้น และถือเป็นเจ้าแรกที่ทำข้าวโพดหวานพิเศษสีแดง ที่ผ่านมามีแต่ข้าวโพดหวานธรรมดาสีแดง ซึ่งที่ผ่านมา หลายคนมักจะเข้าใจเรื่องข้าวโพดหวานพิเศษสีแดง กับข้าวโพดเหนียวสีแดง ว่าเป็นชนิดเดียวกัน ซึ่งแท้จริงแล้ว เป็นคนละชนิด ของเราไม่ใช่ข้าวโพดข้าวเหนียว และจุดเด่นของเรา คือ สามารถกินสดได้เลย ในขณะที่ข้าวโพดข้าวเหนียวสีแดง จะกินสดไม่ได้

ที่มา : Manager online 9 มกราคม 2562 [https://mgronline.com/smes/detail/9610000128920]