สธ.จับมือจุฬาฯ วิจัย “ภูมิคุ้มกัน” ผู้ป่วยหายจากโควิดและผู้ใกล้ชิด มีภูมิคุ้มกันแบบใด ป้องกันติดเชื้อได้หรือไม่ อยู่ได้นานแค่ไหน รับสมัครเบื้องต้น 500 คน หมอชี้ภูมิคุ้มกันบางเชื้อป้องกันไม่ได้ อย่างตับอักเสบซี เอชไอวี บางชนิดป้องกันตลอดชีวิต บางชนิดหายไปตามเวลา

     วันนี้ (24 มิ.ย.) นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวถึงโครงการวิจัยภาวะภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยโควิด-19 และผู้ที่มีความเสี่ยงในคนไทย ว่า ระหว่างรอคอยวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทดลองในคนได้ในช่วงปลายปี 2563 ระหว่างนี้ สธ.และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จะสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับกรมควบคุมโรคและกรมการแพทย์ วิจัยหาข้อมูลว่าผู้ป่วยโควิดที่หายดีแล้วจะมีภูมิคุ้มกันอยู่กับตัวนานแค่ไหน ป้องกันการติดเชื้อใหม่ได้นานแค่ไหน ซึ่งปัจจุบันไทยมีผู้รักษาหายแล้วประมาณ 3,000 กว่าคน คนเหล่านี้จะถือเป็นฮีโร่โควิดที่ยอมเสียสละ ไม่กลัวการตีตรา ที่จะให้เลือดมาให้พวกเราพิสูจน์ข้อเท็จจริง
นพ.คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ คณะที่ปรึกษา รมช.สธ.กล่าวว่า การศึกษานี้ จะศึกษาจากเลือดของผู้ที่หายจากโรคโควิด-19 หรือฮีโร่โควิด และผู้สัมผัสผู้ป่วยแต่ไม่มีอาการว่าจะมีภูมิคุ้มกันหรือไม่ สร้างภูมิคุ้มกันได้เองหรือไม่ และเป็นภูมิที่ป้องกันไวรัสได้จริงหรือไม่ และระยะเวลาในการเกิดภูมิคุ้มกันเป็นเวลาเท่าไร และจะอยู่ได้นานแค่ไหน เพื่อนำเป็นข้อมูลไปใช้ขายผลเรื่องวัคซีน การออกมาตรการ นโยบายต่างๆ เพื่อกลับมาใช้ชีวิตปกติได้เร็วที่สุด โดยคณะแพยศาสตร์ จุฬาฯ และหน่วยไวรัสวิทยา จะเป็นผู้ทำวิจัย
ผศ.นพ.ปกรัฐ หังสสูต หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ร่างกายเมื่อจับเชื้อโรคจะสร้างภูมิคุ้มเคย แต่จะป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่ หรือป้องกันได้นานแค่ไหน จะแตกต่างกันไประหว่างเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบซี หรือเอชไอวี ภูมิคุ้มกันไม่สามารถป้องกันได้ หัด หัดเยอรมัน เป็นแล้วภูมิคุ้มกันจะอยู่ไปตลอดชีวิต และกลุ่มที่อยู่กึ่งกลาง เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ต้องฉีดวัคซีนทุกปี เพราะภูมิสามารถหายไปในเวลาไม่นาน และไวรัสกลายพันธุ์ได้ ส่วนโควิด-19 ก่อนหน้านี้ มีไวรัสโคโรนาในกลุ่มเดียวระบาดในคน 6 ครั้ง ก็ต้องมาศึกษา โดยศึกษาในคนที่หายแล้วว่า ที่หายได้ หายด้วยภูมิคุ้มกันอะไร เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือสารน้ำที่เป็นภูมิคุ้มกันเรียกว่าแอนติบอดี มีหรือไม่ มีลักษณะอย่างไร และคนใกล้ชิดกับผู้ป่วย ที่เป็นไปได้ว่าอาจจะเคยติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ และไม่เคยไปพบแพทย์ เขาใช้ภูมิคุ้มกันอะไรในการปกป้องตัวเองจากการติดเชื้อ
“ในระยะแรกจะรับอาสาสมัคร 500 คน ทั้งคนหายแล้วและผู้ใกล้ชิด เพื่อมาบริจาคเลือด ดูว่าเลือดท่านมีภูมิคุ้มกันอะไรบ้าง มีคุณภาพอย่างไร หลังจากนั้น ติดตามต่อผู้ที่มีภูมิป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่” ผศ.นพ.ปกรัฐ กล่าวและว่า สำหรับอาสาสมัครเราไม่จำกัดเพศ อายุไม่ควรต่ำกว่า 18 ปี ผู้สูงอายุไม่ใช่ปัญหา หากอยู่ในพื้นที่ กทม.จะเดินทางสะดวก โดยสามารถติดต่อสมัครได้ที่ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ส่วนเลือกนั้นจะใช้เพียง 1 ใน 5 ของการบริจาคเลือดปกติ แต่เยอะกว่าการตรวจเลือดปกติเล็กน้อย เพื่อให้ได้เซลล์ที่มีคุณภาพและน้ำเลือดด้วย

ที่มา : Manager online 24 มิถุนายน 2563  [https://mgronline.com/qol/detail/9630000065128]