ห้าตะขาบ เปิดตัว “สเปรย์แก้ไอ” ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุอาการคออักเสบได้มากกว่า 99.9 เปอร์เซ็นต์ ภายในเวลา 5 นาที ตีตลาดคนรุ่นใหม่และตลาดนอก กว่า 14 ประเทศ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับ บริษัท ห้าตะขาบ ซิมเทียมฮ้อ จำกัด ผู้ผลิตยาอมลูกกลอนแก้ไอ ‘ตราตะขาบห้าตัว’ พัฒนาผลิตภัณฑ์โฉมใหม่ ‘ยาแก้ไอแบบสเปร์ยพ่น’ เพื่อขยายฐานคนรุ่นใหม่และชาวต่างชาติ บุกตลาดกว่า 14 ประเทศ พร้อมเปิดตัวแล้วในไตรมาสแรกปี 2563
ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช. เผยว่า ไบโอเทคร่วมกับ บริษัท ห้าตะขาบ ซิมเทียมฮ้อ จำกัด ผู้ผลิตยาอมลูกกลอนแก้ไอตราตะขาบห้าตัว ซึ่งยืนหยัดความนิยมอันดับต้นๆ ในไทยมากว่า 80 ปี ในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยพัฒนากระบวนการผลิตต้นน้ำและกลางน้ำให้สามารถผลิตสินค้าได้ทันความต้องการของลูกค้าที่มีเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ผลงานดังกล่าวสร้างมูลค่าผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ สูงถึงกว่า 700 ล้านบาท และนำมาสู่ความร่วมมือต่อเนื่องในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ยาแก้ไอรูปแบบใหม่ เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น
“สิ่งที่คณะผู้วิจัยพัฒนาคือวิธีการเตรียมวัตถุดิบยาสำหรับกระบวนการผลิตยาแก้ไอในรูปแบบสเปร์ยพ่น โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวกระบวนการอุตสาหกรรม (Industrial bioprocess technology) และเทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์ยับยั้งจุลชีพ พัฒนายารูปแบบใหม่โดยคงสูตรตัวยาสมุนไพรดังเดิม จากการทดสอบพบว่ามีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์เทียบเคียงยาอมสูตรลูกกลอนที่ผลิตและจำหน่ายในปัจจุบัน สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุอาการคออักเสบ (Pharyngitis) ได้มากกว่า 99.9 เปอร์เซ็นต์ ภายในเวลา 5 นาที
“จุดเด่นของผลิตภัณฑ์นี้ ไม่เพียงปรับรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ยา แต่บริษัทและคณะวิจัยยังคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก โดยกระบวนการผลิตทั้งหมดเน้นใช้กรรมวิธีและวัตถุดิบจากธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี และไม่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ เพราะหากผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะไม่ครบตามปริมาณที่กำหนดอาจเกิดการดื้อยาได้ ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาในอนาคตจำเป็นต้องใช้ยาที่แรงขึ้น กระบวนการผลิตมีการนำศาสตร์ต่าง ๆ เข้าไปเสริมความสามารถให้ทำงานได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น สามารถควบคุมคุณภาพตลอดสายการผลิตให้ไม่ก่อเกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นกระบวนการผลิตหลักส่วนใหญ่ยังใช้เทคโนโลยีของคนไทย ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ”
ปัจจุบันบริษัทขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ยาแก้ไอแบบสเปร์ยพ่นกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เป็นที่เรียบร้อย มีการนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มสายการผลิต มีแผนจัดจำหน่ายในไตรมาสแรกปี 2563 โดยวางแผนที่จะมีการทำตลาดเพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายไปสู่คนรุ่นใหม่และชาวต่างชาติที่ไม่นิยมการบริโภคยาในรูปแบบลูกกลอน ซึ่งบริษัทมีฐานตลาดจากผลิตภัณฑ์เดิมอยู่ก่อนหน้าแล้วกว่า 14 ประเทศ
ดร.กอบกุล กล่าวว่า สิ่งที่ไบโอเทคช่วยหนุนเสริมเสมอมา คือ การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปช่วยเสริมความแกร่ง ช่วยยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตามโจทย์ความต้องการของบริษัท เริ่มจากจุดที่มีความสำคัญเร่งด่วน แล้วจึงแนะนำสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาต่อ ไบโอเทคทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมทางช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจจากการเป็น SMEs ไปสู่บริษัทที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน เพื่อให้เกิดการจ้างงานและกระจายรายได้สู่คนในประเทศ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาตามหลัก BCG (Bio – Circular – Green) Economy Model ที่มุ่งเน้นการนำศาสตร์และความรู้และเทคโนโลยีมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า โดยคำนึงถึงการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นวัตกรรม ‘ยาแก้ไอตราตะขาบในรูปแบบสเปร์ยพ่น’ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงอีกก้าวสำคัญของผู้ประกอบการไทย ที่หันมาใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพลิกโฉมผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดเพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมาย ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่ตลาดสากล
ที่มา : Manager online 14 มกราคม 2563 [https://mgronline.com/science/detail/9630000004299]