FILE - An aerial view shows the coastline of the Caspian Sea near Baku, Azerbaijan, May 27, 2019.

การศึกษาชิ้นใหม่ที่มีการเผยแพร่ออกมาในเดือนพฤษภาคมชี้ว่า นับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา กว่าครึ่งหนึ่งของทะเลสาบและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วโลกประสบภาวะหดตัวลง อันมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้เกิดกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำเพื่อการเกษตร การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ และการใช้น้ำเพื่อการบริโภคของผู้คน

.

ทีมนักวิจัยนานาชาติกลุ่มรายงานว่า แหล่งน้ำที่สำคัญที่สุดของโลกบางแห่ง อย่างเช่น บริเวณตั้งแต่ทะเลแคสเปียน (Caspian Sea) ระหว่างยุโรปและเอเชีย ไปจนถึงทะเลสาบติติกากา (Lake Titicaca) ในอเมริกาใต้ ได้สูญเสียน้ำในอัตราสะสมประมาณ 22 กิกะตัน หรือราว 22 ล้านล้านล้านกิโลตันต่อปี เป็นเวลานานเกือบสามทศวรรษแล้ว โดยปริมาณดังกล่าวนั้นคิดเป็นราว 17 เท่าของอ่างเก็บน้ำเลคมีด (Lake Mead) อ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

.

ฟางฟาง เหยา นักอุทกวิทยาผิวดินจากมหาวิทยาลัยแห่งเวอร์จิเนีย (University of Virginia) ผู้นำทีมการศึกษาซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสาร Science อธิบายว่า 56% ของการลดลงของทะเลสาบธรรมชาติเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนและการบริโภคของมนุษย์ โดยสาเหตุภาวะโลกร้อนอยู่ในสัดส่วนที่มากกว่า

.

ภายใต้ทฤษฎีว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศมักเชื่อว่า สภาพการดังกล่าวจะทำให้พื้นที่แห้งแล้งในโลกมีแนวโน้มที่จะแห้งแล้งมากขึ้น และพื้นที่ชื้นก็จะยิ่งชื้นมากขึ้น แต่จากการศึกษาพบว่า มีการสูญเสียน้ำอย่างมากแม้แต่ในพื้นที่ที่มีความชื้น นักอุทกวิทยาผิวดินจึงย้ำว่า “สิ่งนี้เป็นประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม”

.

Aymara Indigenous women arrive in boats on Lake Titicaca from the Uros floating islands to attend a march marking International Women's Day in to Puno, Peru, March 8, 2023.

นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการประเมินทะเลสาบขนาดใหญ่เกือบ 2,000 แห่งทั่วโลก และทำการวัดโดยใช้เทคโนโลยีดาวเทียม ร่วมกับแบบจำลองภูมิอากาศและอุทกวิทยา ก่อนจะพบว่า ระดับน้ำในทะเลสาบทั่วโลกลดลง เพราะมนุษย์ใช้น้ำอย่างไม่คำนึงถึงความยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนและน้ำในลำธารรวมถึงการกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิวดินตามธรรมชาติ และอุณหภูมิที่สูงขึ้น อีกทั้งยังพบว่า ราว 53% ของระดับน้ำในทะเลสาบทั่วโลกลดลงในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1992 ถึงปี 2020

.

ทั้งนี้ ประชากรเกือบ 2 พันล้านคนที่อาศัยอยู่ใกล้บริเวณทะเลสาบและอ่างเก็บน้ำที่แห้งลงได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรง ในขณะที่หลายภูมิภาคต้องเผชิญปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วย

.

เหล่านักวิทยาศาสตร์และนักรณรงค์ได้ออกมาเตือนในประเด็นที่ว่า เราจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส (2.7 องศาฟาเรนไฮต์) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่า ในความเป็นจริงนั้น อุณหภูมิของโลกปรับสูงขึ้นไปแล้วราว 1.1 องศาเซลเซียส (1.9 องศาฟาเรนไฮต์)

.

การศึกษาชิ้นนี้ยังเผยอีกว่า การที่มนุษย์ใช้น้ำอย่างไม่คำนึงถึงความยั่งยืน ทำให้ทะเลสาบต่าง ๆ ต้องเผชิญความแล้ง เช่น ทะเลอารัล (Aral Sea) ในเอเชียกลาง และทะเลเดดซี (Dead Sea) ในตะวันออกกลาง ขณะที่ ทะเลสาบในอัฟกานิสถาน อียิปต์ และมองโกเลีย ก็กำลังได้รับผลกระทบของอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้พื้นที่ดังกล่าวสูญเสียน้ำมากขึ้นได้

ที่มา : voathai https://www.voathai.com/a/more-than-half-of-world-s-large-lakes-are-drying-up-study-finds/7111585.html