ดวงจันทร์ ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายของการสำรวจอวกาศอันกว้างใหญ่ของมนุษย์โลก เนื่องจากเป็นดาวที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด และยังเป็นดาวบริวารเพียงหนึ่งเดียวของโลก ทำให้หลายๆ ประเทศต่างแข่งขันเพื่อที่จะพิชิตภารกิจต่างๆ บนพื้นผิวของดวงจันทร์ ด้วยยานอวกาศที่ทันสมัย
.
ปัจจุบันทีมนักวิจัยจากสหรัฐฯ ได้เผยข้อมูลการศึกษาว่า ดวงจันทร์กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงจากน้ำมือของมนุษย์โลก ไม่ใช่มีโลกของเราเพียงเท่าเท่านั้นที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยข้อมูลนี้การันตีจากคำกล่าวที่ว่า “มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำลายล้างมากที่สุด”
ทีมนักวิจัยระบุว่า การแข่งขันของประเทศต่างๆ ที่มีความพยายามพิชิตพื้นผิวของดวงจันทร์เพื่อสำรวจและเก็บตัวอย่างมาศึกษา กิจกรรมเหล่านี้สร้างผลกระทบต่อพื้นผิวดวงจันทร์มากที่สุด ทำให้ยุคทางธรณีวิทยาใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นบนดวงจันทร์แล้ว ให้ชื่อว่า “ลูนาร์แอนโทรโพซีน” (Lunar Anthropocene)
.
หนึ่งในทีมวิจัยด้านโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแคนซัส จัสติน โฮลโคมบ์ กล่าวว่า กระบวนการทางธรณีวิทยาบนดวงจันทร์เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมนุษย์ต้องมีการอภิปรายเกี่ยวกับผลกระทบของมนุษย์ ที่ทำต่อพื้นผิวดวงจันทร์ จนเกิดการเปลี่ยนไปแปลงไปจากอดีตที่ไม่เคยมีมนุษย์ไปรบกวน ก่อนที่จะสายเกินไป
.
ตัวอย่างของการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบถาวรบนพื้นผิวของดาวบริวารเพียงหนึ่งเดียวของโลก คือ ยานอวกาศ ลูนา 2 (Luna 2) ของสหภาพโซเวียต เป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นชิ้นแรกที่พุ่งชนพื้นผิวดวงจันทร์ ในปี 1959 ซึ่งสร้างหลุมที่เหมือนหลุมอุกกาบาตขึ้น โดยเป็นหลุมที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ แตกต่างจากหลุมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
.
และนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ของการเปลี่ยนแปลง และตลอดหลายปีที่ผ่านมา มนุษย์ได้ทิ้งสิ่งของต่างๆ ไว้บนพื้นผิวดวงจันทร์จำนวนมาก ทั้งรอยเท้า รางรถแลนด์โรเวอร์ ลูกกอล์ฟ ธงชาติ สิ่งที่ยืนยันในการมาเยี่ยมเยือนดาวบริวารเพียงหนึ่งเดียวของโลก
.
งานวิจัยนี้เกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากในปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกกำลังมีการวางแผนเดินทางไปยังดวงจันทร์ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งแต่ละภารกิจจะทำให้พื้นผิวของดวงจันทร์ต้องเปลี่ยนไปอย่างถาวร
.
การปกป้อง "มรดกทางอวกาศ” เป็นเป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่งของงานวิจัยเรื่องลูนาร์แอนโทรโพซีนมองว่า ไม่ว่ามนุษย์จะขยายการสำรวจอวกาศแกไปไกลแค่ไหน ก็ควรอนุรักษ์สิ่งต่างๆ ในอวกาศไว้ เช่นเดียวกับที่พยายามดูแลโบราณวัตถุต่างๆ บนโลกของเราเอง
.
“หัวข้อที่เกิดขึ้นประจำในงานของเราคือ ความสำคัญของสิ่งต่างๆ บนดวงจันทร์และรอยเท้าบนดวงจันทร์ในฐานะทรัพยากรอันมีค่า คล้ายกับบันทึกทางโบราณคดีที่เรามุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์ แนวคิดเรื่องลูนาร์แอนโทรโพซีนมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้และการไตร่ตรองเกี่ยวกับผลกระทบของเราที่มีต่อพื้นผิวดวงจันทร์ ตลอดจนอิทธิพลของเราต่อการอนุรักษ์หลักฐานทางประวัติศาสตร์” …. โฮลโคมบ์ กล่าว
.
นอกจากนักวิจัยที่ศึกษาเรื่องลูนาร์แอนโทรโพซีน นักวิจัยอื่นๆ ก็มีความเห็นพ้องต้องกันว่า ผลกระทบบนดวงจันทร์ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์จำเป็นต้องได้รับการประเมิน
.
แจน-ปีเตอร์ มุลเลอร์ ศาสตราจารย์ภาควิชาฟิสิกส์อวกาศและภูมิอากาศที่มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานวิจัย กล่าวว่า “ผมคิดว่าการสร้างความตระหนักรู้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังจะสร้างผลกระทบมหาศาลบนดวงจันทร์นั้นสำคัญมาก”
.
เอียน ครอว์ฟอร์ด ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์และชีวโหราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเบิร์คเบคแห่งลอนดอน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับวิจัยฉบับนี้ กล่าวว่า “ผมคิดว่านี่เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจและทันท่วงที ซึ่งจะทำให้ผู้คนเริ่มคิดถึงผลกระทบของกิจกรรมของมนุษย์บนดวงจันทร์”
.
ที่มา : mgronline https://mgronline.com/science/detail/9660000112842