‘แบร์ริเออร์’ช่วยจราจรปลอดภัย – คณะครู และนักศึกษา แผนกวิชาเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ วิทยาลัยเทคนิคตรัง ร่วมกันส่งเสริมการนำยางพารามาใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่มีราคาตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับจังหวัดตรัง ถือเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกยางเป็นแห่งแรกของประเทศไทยด้วย จึงออกแบบเพื่อนำน้ำยางมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งสามารถใช้งานได้จริง มีความคงทนแข็งแรง และมีราคาถูกกว่าวัสดุอื่นๆ อาทิ แผ่นยางปูพื้น พื้นยางสนามฟุตซอล กระถางยาง ยางปูบ่อปลา และเต้ายางตรวจมะเร็งเต้านม
กระทั่งต่อมามีการคิดค้นเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อความปลอดภัยด้านการจราจร ซึ่งในอดีตจะนิยมใช้วัสดุคอนกรีต เนื่องจากมีความคงทนแข็งแรงสูง แต่ก็ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่ขับขี่รถไปเฉี่ยวชน หรือมีการใช้วัสดุพลาสติก แต่กำลังทำให้เกิดปัญหาย่อยสลายยาก และเป็นมลพิษต่อสภาพแวดล้อม
ดังนั้น จึงเป็นที่ของการนำวัสดุจากยางมาใช้ทดแทน เพราะเมื่อถูกกระแทกจะไม่แตกเสียหาย และคืนกลับสู่สภาพเดิมได้โดยเร็ว จึงใช้งานยาวนาน แถมยังช่วยลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้ขับขี่ หรือตัวรถได้อีกด้วย
สำหรับ 2 นวัตกรรมจากยางล่าสุดก็คือ ผลิตภัณฑ์แท่งแบร์ริเออร์จากยาง ซึ่งมีการพัฒนาประสิทธิภาพให้สูงขึ้น ด้วยการเสริมสารแคลเซียมคาร์บอเนต และผลิตภัณฑ์แผงกั้นถนนทางโค้งจากยาง ที่ได้มีการเสริมสารซิลิกาเข้าไป โดยผลิตจากน้ำยางข้นชนิดครีม ที่ผ่านกระบวนการวิจัย ศึกษาสูตร วิเคราะห์ พร้อมทั้งออกแบบ จากคณะครูแผนกวิชาเทคโนโลยียางและพอลิมอร์ ซึ่งได้รับงบประมาณปี 2562 จากทางจังหวัดตรัง 6.5 ล้านบาท มาสนับสนุน เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านยางสู่ชุมชน
น.ส.อทิตยา บุญญา นักศึกษาชั้น ปวส.2 สาขาเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ กล่าวถึงขั้นตอนการทำผลิตภัณฑ์แท่งแบร์ริเออร์ และแผงกั้นถนนทางโค้งจากยางว่า เริ่มจากการชั่งน้ำยาง และสารเคมีตามสูตรที่กำหนด แล้วนำมาผสมกัน ก่อนฉีดน้ำยางเข้าแม่พิมพ์ด้วยเครื่อง แล้ววัลคาไนซ์ชิ้นงาน (ขึ้นรูปชิ้นงาน) ในตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิ 100 องศา เป็นเวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นถอดชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์ เพื่อล้างทำความสะอาด แล้วตกแต่งให้สวยงามด้วยการทาสีน้ำมัน และประกอบชิ้นงานตามรูปแบบที่ต้องการ
ผลิตภัณฑ์แท่งแบร์ริเออร์จากยางจะมีขนาด 50 x 100 x 81 เซนติเมตร มีต้นทุนการผลิต 2,200 บาท/ชิ้น และมีน้ำหนัก 80 ก.ก./ชิ้น ส่วนแผงกั้นถนนทางโค้ง มีขนาด 80 x 200 เซนติเมตร มีต้นทุนการผลิต 3,000 บาท/ชิ้น และมีน้ำหนัก 30 ก.ก./ชิ้น ซึ่งผลการทดสอบพบว่ามีความยืดหยุ่นดีแต่แข็งแรงสูง ทนต่อการกระแทก และทำให้รถกลับเข้าสู่ช่องจราจรเดิมได้โดยไม่กระเด้งกลับ หรือชนทะลุข้ามด้านหลัง ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ได้มีการ ยื่นจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว และกำลังดำเนินการขอมาตรฐาน มอก.ต่อไป
ทั้งนี้ วิทยาลัยเทคนิคตรังพร้อมที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ผลิตภัณฑ์เพื่อความปลอดภัยด้านการจราจรให้กับหน่วยงานต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในสังคม โดยสามารถติดต่อสอบถามที่ นายสุรศักดิ์ เทพทอง หัวหน้าแผนกวิชาเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ โทร. 08-3539-5456 หรือ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
ที่มา : Khaosod online 20 พฤศจิกายน 2562 [https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_3069742]