ในช่วงเวลาที่หลายคนประสบปัญหาในการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ น้ำมันที่มีรสชาติแปลก ๆ เหล่านี้ถูกนำเสนอว่าเป็นทางออกสารพัดประโยชน์ และปรากฏว่า หนึ่งในน้ำมันเหล่านั้นมีคุณค่าทางวิตามินที่ทรงพลังจริง ๆ
.
ทุกวันนี้ คำว่า “น้ำมันตับปลา” อาจชวนให้นึกถึงภาพของช้อนที่ตักของเหลวขุ่น ๆ โบกไปมาโดยพยาบาลโรงเรียนหรือครูใหญ่ในสไตล์ยุคดิกเกนส์ [หมายถึง ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับนักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษอย่าง ชาร์ลส์ ดิกเกนส์ ซึ่งมีชีวิตอยู่ ซึ่งอยู่ในยุควิกตอเรีย หรือระหว่าง ค.ศ. 1837 - 1901]
.
ยารักษาโรคหลายชนิดจากศตวรรษที่ 18 และ 19 ไม่ถูกใช้อีกต่อไปแล้ว เช่น ทุกวันนี้เราไม่ได้ให้ฝิ่นกับทารกที่ร้องไห้อีกต่อไป หรือน้ำเชื่อมมะเดื่อและน้ำมันละหุ่งก็ไม่ถือเป็นยารักษาสารพัดโรคอีกแล้ว แม้จะช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้ดี (บางครั้งก็อาจดีเกินไป) และคุณจำได้ไหมว่าครั้งสุดท้ายที่คุณแวะร้านขายยาเพื่อซื้อน้ำมันกำมะถันกับน้ำเชื่อมใส่น้ำตาลคือเมื่อไหร่
.
อย่างไรก็ตาม น้ำมันตับปลาเป็นหนึ่งในยาสมัยโบราณไม่กี่ชนิดที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีประโยชน์จริง ๆ น้ำมันตับปลามีกระบวนการผลิตโดยการให้ความร้อนกับตับปลาค็อดและเก็บน้ำมันที่ไหลออกมา ซึ่งน้ำมันนี้อุดมไปด้วยวิตามินดีและวิตามินเอ
.
ก่อนที่จะมีการค้นพบวิตามิน ซึ่งต้องใช้เวลาอีกหลายปีต่อมา ผู้คนสังเกตเห็นว่าเด็กที่ได้รับน้ำมันตับปลามักจะไม่เป็นโรคกระดูกอ่อน ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกที่พบในวัยเด็ก ชื่อของโรคนี้ยังเป็นที่มาของคำว่า “rickety” (ซึ่งหมายถึงอ่อนแอหรือเปราะ) และโรคนี้อาจทำให้เกิดอาการชักและหัวใจวายได้
.
เด็กหลายรุ่นต้องทนกับรสชาติคาวของน้ำมันตับปลา แต่คุณประโยชน์ต่อสุขภาพของมันอาจไม่ได้ถูกกล่าวเกินจริง
การค้นพบในปี 1919 ว่าการขาดแคลเซียมและวิตามินดีเป็นสาเหตุของโรคกระดูกอ่อนในเด็ก (rickets) ได้อธิบายถึงพลังอันน่าทึ่งของน้ำมันตับปลา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้แจกน้ำมันตับปลาให้เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีฟรี โดยโปสเตอร์ในยุคนั้นมีข้อความเตือนว่า “อย่าลืมน้ำส้มกับน้ำมันตับปลาของจิมมี่!”
.
แม้ว่าน้ำมันตับปลาจะมีคุณประโยชน์ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ารับประทานนัก เช่นเดียวกับน้ำมันทั่ว ๆ ไป เมื่อสัมผัสกับออกซิเจน น้ำมันจะเหม็นหืนและมีรสคาวอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการรับวิตามินดี อย่างการออกไปนั่งตากแดดเพื่อให้เอนไซม์ใต้ผิวหนังผลิตวิตามินดีกลับไม่ใช่ทางเลือกที่ทำได้ง่ายสำหรับเด็กในสหราชอาณาจักร ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ยังคงเป็นจริงในปัจจุบันเหมือนกับเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว (และอาจแย่ลง เนื่องจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของสหราชอาณาจักรคาดการณ์ว่า ภายในปี 2070 ฤดูหนาวจะมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปี 1990)
.
ด้วยเหตุนี้ หลายประเทศจึงหันมาเสริมสารอาหารในอาหาร เมื่อปี 1940 สหราชอาณาจักรเริ่มเสริมวิตามินดีในเนยเทียม (margarine) เป็นข้อบังคับ ผู้ผลิตขนมปัง นม และซีเรียลอาหารเช้าก็เข้าร่วมเสริมสารอาหารเช่นกัน ในสหรัฐอเมริกา การเสริมนมด้วยวิตามินดีเป็นข้อบังคับตั้งแต่ปี 1933 และการเสริมซีเรียล ขนมปัง และแป้งก็ทำเป็นปกติ แม้จะไม่ใช่ข้อบังคับ
.
แม้กระทั่งในศตวรรษที่ 21 รัฐบาลหลายประเทศก็ยังเปลี่ยนนโยบายเพื่อเพิ่มระดับวิตามินดี เช่น ฟินแลนด์ที่เริ่มโครงการเสริมสารอาหารโดยสมัครใจในปี 2003 โดยผู้ผลิตอาหารเข้าร่วมอย่างแพร่หลาย
.
อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการเสริมสารอาหารในสหราชอาณาจักรเจอปัญหาในช่วงแรก ๆ เมื่อพบผู้ป่วยโรคภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (hypercalcaemia) ซึ่งเป็นภาวะที่มีแคลเซียมในเลือดสูงเกินไป ทำให้เกิดนิ่วในไตและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสงสัยว่าเด็กอาจได้รับวิตามินดีเกินขนาด ส่งผลให้การเสริมสารอาหารถูกห้ามในปี 1950 ยกเว้นเนยเทียมและนมผงสำหรับทารก
.
การเสริมสารอาหารในอาหารบางประเภท เช่น นม ช่วยลดความจำเป็นในการรับประทานน้ำมันเสริมเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม น้ำมันตับปลาดูเหมือนจะไม่ได้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ในปี 2013 สหราชอาณาจักรยุติการเสริมวิตามินดีในเนยเทียม โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแทน (แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ทำตาม หรือแม้แต่รู้เกี่ยวกับคำแนะนำนี้)
.
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อการตรวจระดับวิตามินดีในเลือดมีความแม่นยำมากขึ้น ความจริงที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้น ระหว่างเดือน ม.ค. ถึง มี.ค. ซึ่งมีแสงแดดน้อยที่สุด เด็กในสหราชอาณาจักรเกือบ 40% ในบางกลุ่มอายุมีภาวะขาดวิตามินดี และผู้ใหญ่เกือบ 30% เผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวคล้ำมีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ
.
“ภาวะวิตามินดีต่ำเกือบจะเป็นเรื่องปกติในประชากรเอเชียใต้ในสหราชอาณาจักร” จูดิธ บัททริส นักโภชนาการสาธารณสุขจากสถาบันวิทยาศาสตร์โภชนาการ (Academy of Nutrition Science) เขียนไว้ในบทบรรณาธิการของวารสารโภชนาการ (Nutrition Bulletin)
.
ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ โรคกระดูกอ่อน (rickets) ได้กลับมาอีกครั้ง การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคกระดูกอ่อนในสหราชอาณาจักรมีน้อยมากในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 และลดลงเรื่อย ๆ ในทศวรรษต่อมา ในปี 1991 มีผู้ป่วยโรคกระดูกอ่อนเพียง 0.34 รายต่อประชากร 100,000 คนที่อายุต่ำกว่า 15 ปีในอังกฤษ แต่ในช่วงทศวรรษ 2000 อัตราผู้ป่วยเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
.
“อัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคกระดูกอ่อนในอังกฤษขณะนี้สูงที่สุดในรอบห้าทศวรรษ” นักวิทยาศาสตร์เขียนในปี 2011
.
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่การเสริมสารอาหารจะกลับมาอีกครั้ง ?
.
คณะกรรมการที่ปรึกษาทางโภชนาการของสหราชอาณาจักรกำลังพิจารณาประเด็นนี้ โดยขณะนี้มีความเชื่อว่า กรณีของภาวะแคลเซียมเกินในเลือด (hypercalcaemia) ที่ทำให้การเสริมวิตามินถูกยกเลิกในอดีตนั้น มีสาเหตุมาจากโรคทางพันธุกรรมที่รบกวนการดูดซึมวิตามิน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปัญหาอาจไม่ใช่เพราะการบริโภคอาหารเสริมมากเกินไป
.
การเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้อาจกำลังเกิดขึ้น
.
ปัจจัยเบื้องหลังการเพิ่มขึ้นของโรคกระดูกอ่อนในสหราชอาณาจักรอาจมีหลายประการ แต่สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า “น้ำมันตับปลาหนึ่งช้อน” อาจจะได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตอีกครั้ง
ที่มา : BBC https://www.bbc.com/thai/articles/cn42zmp7exvo